การสั่งผลิตชิ้นงานพลาสติกมีขั้นตอนอย่างไร
บทนำ
หากเราลองมองไปรอบ ๆ ตัวเรา ผู้เขียนเชื่อว่าคุณจะต้องพบสินค้าอย่างน้อยหนึ่งชิ้นที่ผลิตมาจากกระบวนการฉีดพลาสติก เพราะนี่คือหนึ่งในวิธีการผลิตชิ้นส่วนหรือสินค้าพลาสติกที่มีบทบาทสำคัญและได้รับความนิยมมาก ๆ ในวงการอุตสาหกรรม การฉีดพลาสติกเพื่อขึ้นรูปผลิตภัณฑ์เป็นวิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีประวัติอันยาวนานตั้งแต่การคิดค้นในศตวรรษที่ 18 จนมาเฟื่องฟูอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังคงใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “กระบวนการฉีดพลาสติก (Plastic Injection)” ตั้งแต่ต้นจนจบ รับรองได้ว่าเนื้อหาที่กำลังจะได้อ่านต่อไปนี้มีความน่าสนใจอย่างแน่นอน
เนื้อหาในบทความนี้
บทนำ
- ประวัติที่น่าสนใจของกระบวนการฉีดพลาสติก
- กระบวนการฉีดพลาสติกคืออะไร
- การฉีดพลาสติก และการเป่าพลาสติกต่างกันอย่างไร
- ส่วนประกอบของเครื่องฉีดพลาสติก
- ขั้นตอนการทำงานของกระบวนการฉีดพลาสติก
- วัสดุที่ใช้ในกระบวนการฉีดพลาสติก
ประวัติที่น่าสนใจของกระบวนการฉีดพลาสติก
กระบวนการฉีดพลาสติกมีประวัติความเป็นมาที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เครื่องฉีดพลาสติกเครื่องแรกของโลกถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายปี ค.ศ. 1800 โดยนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันนามว่า John Wesley Hyatt (จอห์น เวสลีย์ ไฮเอท) และพี่ชายของเขา Isaiah (อิสยาห์) ในปี ค.ศ. 1872 แม้ว่าเครื่องฉีดพลาสติกรุ่นแรกนี้จะมีรูปลักษณ์แตกต่างจากเครื่องที่ใช้ในปัจจุบันอย่างมาก แต่ก็สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หลักในการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับยุคนั้น
หลังจากการประดิษฐ์เครื่องฉีดพลาสติกในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 อุตสาหกรรมพลาสติกแทบไม่ได้มีการพัฒนาที่โดดเด่นเป็นเวลาหลายทศวรรษ การผลิตสินค้าพลาสติกในยุคนั้นจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ประเภท เช่น ปลอกคอ กระดุม และหวีเท่านั้น เนื่องจากขาดการพัฒนานวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการฉีดพลาสติกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความนิยมของสินค้าพลาสติกยังไม่แพร่หลายมากนัก
ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อาเธอร์ได้จดสิทธิบัตรเครื่องฉีดพลาสติกอีกรูปแบบหนึ่งในชื่อ “Injection Moulding Of Plasticised Cellulose Acetate” ในปี ค.ศ. 1937 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตาม สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1939 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมพลาสติกเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากความก้าวหน้าในการผลิตยานยนต์และอากาศยาน และช่วงหลังสงคราม โลกในช่วงนั้นต้องการผลิตสินค้าที่มีต้นทุนต่ำและสามารถผลิตได้ในปริมาณมาก (Economy of Scale) และวัสดุที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัวก็คือ “พลาสติก”
กระบวนการฉีดพลาสติกคืออะไร
กระบวนการฉีดพลาสติก (Plastic Injection) เป็นเทคโนโลยีการผลิตชิ้นงานพลาสติกโดยการนำเม็ดพลาสติก (Plastic Resin) มาหลอมให้กลายเป็นของเหลวด้วยความร้อน จากนั้นฉีดพลาสติกหลอมเหลวด้วยแรงดันสูงอัดเข้าสู่แม่พิมพ์ (Mold) ที่ออกแบบมาเฉพาะมีช่องว่างเป็นรูปร่างตามที่ต้องการ ปล่อยให้เย็นตัวและแข็งตัว สุดท้ายจึงทำการเปิดแม่พิมพ์เพื่อนำชิ้นงานออกมา ชิ้นงานจะถูกปลดออกจากแม่พิมพ์พร้อมนำไปใช้ได้ทันที โดยกระบวนการนี้ขึ้นชื่อในด้านความรวดเร็ว แม่นยำ และเหมาะสำหรับการผลิตจำนวนมาก
หลักการทำงานพื้นฐาน
- การหลอมเม็ดพลาสติก : เม็ดพลาสติกถูกใส่เข้าไปในเครื่องฉีดและหลอมละลายด้วยความร้อนจนได้วัสดุที่มีความหนืดเหมาะสม
- การฉีดเข้าแม่พิมพ์ : วัสดุเหลวถูกอัดด้วยแรงดันสูงผ่านสกรูเข้าไปในโพรงแม่พิมพ์ที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า
- การหล่อเย็นและขึ้นรูป : แม่พิมพ์จะทำหน้าที่ระบายความร้อนให้พลาสติกแข็งตัวเร็ว พร้อมรักษารายละเอียดของชิ้นงาน
- การปลดชิ้นงาน : เมื่อพลาสติกแข็งตัวเต็มที่ แม่พิมพ์จะแยกออก และชิ้นงานถูกดันออกโดยระบบอัตโนมัติ
การฉีดพลาสติก และการเป่าพลาสติกต่างกันอย่างไร
ในอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก มีเทคนิคการขึ้นรูปหลากหลายวิธีที่ถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน โดยสองวิธีการผลิตที่มีความสำคัญและพบเห็นได้บ่อยคือ “การฉีดพลาสติก” (Plastic Injection) และ “การเป่าพลาสติก” (Blow Molding) แม้ว่าทั้งสองวิธีจะใช้หลักการทำให้พลาสติกหลอมละลายและขึ้นรูปในแม่พิมพ์ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญทั้งในด้านกระบวนการผลิต ชนิดของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และจุดเด่นที่แตกต่างกัน
ความแตกต่างด้านหลักการทำงาน
การฉีดพลาสติก
ทำงานโดยการฉีดพลาสติกหลอมละลายเข้าสู่แม่พิมพ์ปิดที่มีช่องว่างตามรูปร่างของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ เมื่อพลาสติกเย็นตัวลงและแข็งตัว แม่พิมพ์จะเปิดออกและนำชิ้นงานออกมา กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่มีรายละเอียดสูง มีความซับซ้อน และต้องการความแม่นยำในการผลิต
ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการฉีดพลาสติก
- ชิ้นส่วนที่มีรายละเอียดซับซ้อน เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- ชิ้นส่วนที่ต้องการความแข็งแรงและความเที่ยงตรงสูง
- ผลิตภัณฑ์ที่มีผนังบาง หรือมีความหนาที่สม่ำเสมอ
- ชิ้นงานที่มีความซับซ้อนในเชิงโครงสร้าง เช่น ของเล่น ชิ้นส่วนยานยนต์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์
การเป่าพลาสติก
เริ่มต้นจากการสร้างท่อพลาสติกหลอมละลาย (เรียกว่า Parison) จากนั้นจึงนำไปวางในแม่พิมพ์และเป่าลมเข้าไปให้พลาสติกขยายตัวจนแนบสนิทกับผนังแม่พิมพ์ เมื่อพลาสติกเย็นตัวลง แม่พิมพ์จะเปิดออกและได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นโพรงกลวง เทคนิคนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตภาชนะบรรจุ เช่น ขวดน้ำ ขวดน้ำยาทำความสะอาด หรือถังบรรจุของเหลวต่างๆ
ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการเป่าพลาสติก
- ภาชนะบรรจุที่มีลักษณะกลวง เช่น ขวด ถัง หรือแกลลอน
- ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการออกแบบรูปทรง
- ชิ้นงานที่มีปริมาตรภายในขนาดใหญ่ เช่น ถังขยะ หรือถังน้ำ
- ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง เช่น ขวดน้ำดื่ม
ส่วนประกอบของเครื่องฉีดพลาสติก
เครื่องฉีดพลาสติกเป็นเครื่องจักรที่มีความซับซ้อนและประกอบไปด้วยชิ้นส่วนสำคัญหลายส่วนที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ โดยทั่วไปแล้ว เครื่องฉีดพลาสติกจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 5 ส่วน ได้แก่ ฮอปเปอร์ (Hopper), ชุดฉีด (Injection Unit), ชุดแม่พิมพ์ (Mold Unit), ชุดล็อคแม่พิมพ์ (Clamping Unit) และระบบควบคุม (Control System) ซึ่งแต่ละส่วนมีหน้าที่เฉพาะและมีความสำคัญต่อคุณภาพของชิ้นงานที่ผลิตออกมา
ฮอปเปอร์ (Hopper)
- ทำหน้าที่เป็นถังเก็บวัตถุดิบเม็ดพลาสติกก่อนเข้าสู่กระบวนการหลอมเหลว โดยเม็ดพลาสติกจะถูกป้อนจากฮอปเปอร์ลงสู่กระบอกฉีด (Barrel) อย่างต่อเนื่องผ่านระบบแรงโน้มถ่วงหรือระบบป้อนอัตโนมัติ เพื่อให้มั่นใจว่ามีวัตถุดิบเพียงพอตลอดการทำงาน
กระบอกฉีดและสกรู (Injection Unit)
- กระบอกฉีด เป็นส่วนที่ทำหน้าที่หลอมละลายเม็ดพลาสติกด้วยความร้อนจากฮีตเตอร์ (Heater) ที่ติดอยู่รอบกระบอก ร่วมกับการหมุนของ สกรู ซึ่งออกแบบให้มีเกลียวเพื่อบดอัดและเคลื่อนย้ายพลาสติกหลอมเหลวไปยังส่วนหน้าของกระบอก เมื่อสะสมเนื้อพลาสติกในปริมาณที่กำหนด สกรูจะทำหน้าที่ฉีดพลาสติกเหลวเข้าสู่แม่พิมพ์ด้วยความเร็วและแรงดันสูง
แม่พิมพ์ (Mold)
- เป็นส่วนกำหนดรูปร่างและรายละเอียดของชิ้นงาน แม่พิมพ์มักทำจากโลหะแข็งแรงทนทาน เช่น เหล็กกล้า เคลือบผิวเพื่อป้องกันการสึกหรอ โดยภายในมีช่องระบายความร้อนหรือความเย็นเพื่อควบคุมอุณหภูมิขณะฉีด และระบบ Ejector System ก็จะเป็นกลไกที่ใช้ดันชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์เมื่อชิ้นงานแข็งตัวแล้ว
ระบบกั้นแม่พิมพ์ (Clamping Unit)
- ชุดล็อคแม่พิมพ์เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ยึดและเปิด-ปิดแม่พิมพ์ในระหว่างกระบวนการฉีด ทำหน้าที่ปิดและกักแม่พิมพ์ให้แน่นหนาขณะฉีดพลาสติกเหลวเข้าไป โดยใช้แรงดันไฮดรอลิกหรือระบบไฟฟ้าเพื่อป้องกันการรั่วไหลของเนื้อพลาสติก นอกจากนี้ยังควบคุมเวลาการหล่อเย็นก่อนเปิดแม่พิมพ์เพื่อนำชิ้นงานออก
ระบบควบคุม (Control System)
- เป็นส่วนที่ใช้ตั้งค่าและตรวจสอบพารามิเตอร์ต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ แรงดัน ความเร็วในการฉีด และเวลารอคอย ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแผงควบคุม ทำให้ผู้ใช้งานปรับแต่งกระบวนการผลิตได้แม่นยำ สอดคล้องกับประเภทของพลาสติกและแบบชิ้นงาน
ขั้นตอนการทำงานของกระบวนการฉีดพลาสติก
กระบวนการฉีดพลาสติกเป็นการทำงานที่ต้องอาศัยความแม่นยำและการควบคุมที่เข้มงวดในทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องให้ความสำคัญในแต่ละขั้นตอน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย โดยสามารถแบ่งขั้นตอนหลักๆ ได้ดังนี้
- การเตรียมวัตถุดิบ
การเตรียมวัตถุดิบจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในกระบวนการฉีดพลาสติก โดยเม็ดพลาสติกที่เลือกใช้ต้องได้รับการตรวจสอบคุณภาพและจัดเก็บในสภาวะที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและไม่มีความชื้น วัตถุดิบที่มีความชื้นสูงอาจก่อให้เกิดปัญหาในระหว่างการฉีด เช่น ฟองอากาศในชิ้นงาน หรือการเสื่อมสภาพของพลาสติก ดังนั้นในบางกรณีจึงต้องมีการอบเม็ดพลาสติกเพื่อไล่ความชื้นก่อนนำไปใช้งาน
- การให้ความร้อนและหลอมละลาย
หลังจากเตรียมวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว เม็ดพลาสติกจะถูกป้อนเข้าสู่กระบอกฉีด (Barrel) ผ่านทางช่องป้อนวัตถุดิบ (Hopper) จากนั้นจะถูกทำให้หลอมละลายด้วยความร้อนจากฮีตเตอร์ที่ติดตั้งรอบกระบอกฉีด และแรงเสียดทานจากการหมุนของสกรู (Screw) ภายในกระบอกฉีด อุณหภูมิที่ใช้ในการหลอมละลายจะแตกต่างกันไปตามชนิดของพลาสติก โดยต้องควบคุมให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม หากอุณหภูมิสูงเกินไปอาจทำให้พลาสติกเสื่อมสภาพ แต่หากต่ำเกินไปก็อาจทำให้การไหลตัวไม่ดี
- การฉีดพลาสติกเข้าแม่พิมพ์
เมื่อพลาสติกหลอมละลายได้ที่แล้ว จะถูกฉีดเข้าสู่แม่พิมพ์ภายใต้แรงดันสูง โดยสกรูจะทำหน้าที่เป็นตัวกระทุ้ง (Ram) ดันพลาสติกเหลวให้ไหลผ่านหัวฉีด (Nozzle) เข้าสู่ช่องทางเดินน้ำพลาสติก (Runner System) และกระจายเข้าสู่ช่องว่างของแม่พิมพ์ ขั้นตอนนี้ต้องมีการควบคุมความเร็วและแรงดันในการฉีดให้เหมาะสม เพื่อให้พลาสติกไหลเข้าเติมเต็มช่องว่างในแม่พิมพ์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่เกิดปัญหาเช่น ฟองอากาศ รอยประสาน หรือการหดตัวที่ไม่สม่ำเสมอ
- การอัดแน่น
หลังจากฉีดพลาสติกเข้าแม่พิมพ์จนเต็มแล้ว ยังคงต้องรักษาแรงดันไว้ระยะหนึ่ง เรียกว่าขั้นตอนการอัดแน่น เพื่อชดเชยการหดตัวของพลาสติกขณะเย็นตัว และเพิ่มพลาสติกเข้าไปในแม่พิมพ์เพิ่มเติม การควบคุมแรงดันและระยะเวลาในขั้นตอนนี้มีความสำคัญต่อคุณภาพชิ้นงานในด้านความเสถียรของขนาด ความหนาแน่น และการป้องกันการยุบตัวบนผิวชิ้นงาน
- การเย็นตัว
หลังการฉีดพลาสติกเหลวเข้าแม่พิมพ์ จะมีการรักษาความดันไว้ชั่วครู่เพื่อชดเชยการหดตัวของวัสดุขณะเย็นตัวลง จากนั้นระบบหล่อเย็นจะทำงานโดยส่งน้ำหรือสารหล่อเย็นผ่านช่องในแม่พิมพ์ เพื่อเร่งกระบวนการแข็งตัวของชิ้นงาน อุณหภูมิและเวลาหล่อเย็นเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องควบคุมให้แม่นยำ หากเย็นตัวไม่เพียงพอ ชิ้นงานอาจบิดงอหรือมีรอยรั่ว
- การถอดชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์
เมื่อชิ้นงานแข็งตัวได้ที่ แม่พิมพ์จะถูกเปิดออกโดยระบบกลไก จากนั้นก้านดีดจะดันชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์อย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนหรือเสียหาย ในบางกรณีอาจใช้ระบบโรบอตหรือเครื่องมือช่วยหยิบชิ้นงานอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการผลิต
- การตัดแต่งและตรวจสอบคุณภาพ
ชิ้นงานที่ได้อาจมีเศษพลาสติกเกินขนาดหรือเสี้ยนที่เกิดจากรอยต่อแม่พิมพ์ จึงต้องผ่านการตัดแต่งด้วยเครื่องมือหรือเครื่องจักรพิเศษ จากนั้นจะมีการตรวจสอบคุณภาพทั้งด้านมิติ สภาพผิวหน้า และความทนทานตามมาตรฐานที่กำหนด ก่อนส่งมอบผลิตภัณฑ์
วัสดุที่ใช้ในกระบวนการฉีดพลาสติก
โดยทั่วไปแล้ว วัสดุที่เป็นส่วนผสมหลักที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการฉีดขึ้นรูปสามารถแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มหลัก คือ เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastics) สารเติมแต่ง (Additives) และเทอร์โมเซ็ตติ้ง (Thermosetting) เทอร์โมพลาสติกเป็นพลาสติกที่สามารถหลอมละลายและขึ้นรูปใหม่ได้หลายครั้งเมื่อได้รับความร้อน ส่วนเทอร์โมเซ็ตติ้งเป็นพลาสติกที่เมื่อผ่านกระบวนการขึ้นรูปด้วยความร้อนแล้ว จะเกิดการเชื่อมโยงทางเคมีอย่างถาวร ทำให้ไม่สามารถหลอมละลายและขึ้นรูปใหม่ได้อีก และนอกจากวัสดุพลาสติกพื้นฐานแล้ว ในกระบวนการฉีดพลาสติกยังมีการใช้สารเติมแต่งต่างๆ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการเช่น สารเพิ่มความแข็งแรง, สารหล่อลื่น และสี เป็นต้น โดยเทอร์โมพลาสติกที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการฉีดพลาสติก ได้แก่
- พอลิเอทิลีน (PE) – เป็นพลาสติกที่มีความหลากหลายในการใช้งาน แบ่งเป็น HDPE (High Density Polyethylene) ที่มีความแข็งแรงสูง เหมาะกับการผลิตภาชนะบรรจุสารเคมี ขวดนม และท่อน้ำ และ LDPE (Low Density Polyethylene) ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า เหมาะกับการผลิตถุงพลาสติกและฟิล์มห่ออาหาร
- พอลิพรอพิลีน (PP) – มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี ทนต่อสารเคมี และมีความแข็งแรงสูง จึงนิยมใช้ผลิตภาชนะบรรจุอาหารที่ต้องผ่านไมโครเวฟ ชิ้นส่วนยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ และของเล่นเด็ก
- พอลิสไตรีน (PS) – มีลักษณะใส แข็ง และเปราะ นิยมใช้ผลิตภาชนะบรรจุอาหารแบบใส กล่องซีดี และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงโฟมบรรจุอาหาร (EPS) ที่มีน้ำหนักเบา
- พอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) – มีความทนทานสูง ทนต่อการกัดกร่อนจากสารเคมีและสภาพอากาศ นิยมใช้ผลิตท่อน้ำ วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนยานยนต์
- พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) – มีความใส แข็งแรง และทนทานต่อสารเคมี นิยมใช้ผลิตขวดน้ำดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหาร และเส้นใยสำหรับสิ่งทอ
- อะคริโลไนไตรล์ บิวทาไดอีน สไตรีน (ABS) – มีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อแรงกระแทก และมีพื้นผิวที่สวยงาม นิยมใช้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และของเล่น
- ไนลอน (Nylon) – มีความแข็งแรง ทนความร้อนสูง และทนต่อการสึกหรอ เหมาะกับการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร เฟืองเกียร์ และชิ้นส่วนที่ต้องรับแรงเสียดสี
ท้ายบทความ
แม้ว่าปัจจุบันโลกเรามีกระแสในด้านลบเกี่ยวกับพลาสติก แต่จริงๆ แล้ว พลาสติกถือเป็นวัสดุที่ยั่งยืนในหลายมิติ เมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุอื่นๆ เพราะว่าการผลิตพลาสติกมีต้นทุนต่ำกว่าวัสดุอื่นหลายชนิด และผลิตภัณฑ์พลาสติกสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 100 ปี หรือมากกว่าในบางกรณี เช่น ท่อส่งน้ำหรือภาชนะบรรจุสารเคมี ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการผลิตใหม่บ่อยครั้ง อีกทั้งในหลาย ๆ ประเภทของพลาสติกสามารถนำกลับมารีไซเคิลเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ ประเด็นสำคัญคือ พลาสติกไม่ได้เป็นวัสดุที่ “ไม่ยั่งยืน” โดยธรรมชาติ แต่เป็นการบริหารจัดการที่ต้องได้รับการปรับปรุง เช่นจัดการขยะพลาสติกที่ไม่เหมาะสมในหลายๆ พื้นที่ หากสามารถปรับปรุงได้ ผู้เขียนคิดว่าพลาสติกก็จะยังคงเป็นวัสดุที่มีบทบาทสำคัญในในอนาคตไปอีกหลายปี